อุตสาหกรรมการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) มีวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้คุณได้รับดอกเบี้ยจากเหรียญคริปโตที่ไม่ได้ใช้งาน โดยสิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือ Yield Farming และ Staking
ในคู่มือ Yield farming vs Staking นี้ เราจะมาอธิบายวิธีการทำงานของผลิตภัณฑ์การลงทุน DeFi แต่ละแบบ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์ใดที่เหมาะกับคุณมากที่สุด
การทำ Yield farming vs Staking ต่างกันยังไง
ความแตกต่างสำคัญระหว่างการทำ Yield farming vs Staking คือ:
- ในการทำ Yield farming ส่วนใหญ่ คุณไม่จำเป็นต้องนำเหรียญไปล็อคไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถถอนเหรียญคริปโตของคุณได้ตลอดเวลา
- ส่วนการ Staking จะกำหนดให้คุณเหรียญของคุณเอาไว้ตามระยะเวลาขั้นต่ำ แต่แพลตฟอร์ม DeFi บางแห่งก็มีเงื่อนไขในการ Staking ที่ยืดหยุ่น
- การ Staking มักจะได้รับผลตอบแทนต่อปี (APY) แบบคงที่ ซึ่งหมายความว่าคุณจะรู้เสมอว่าคุณจะได้รับเงินคืนเท่าใดเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการ Stake ส่วนการทำ Yield farming นั้นมีความผันผวนมากกว่ามาก คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคุณจะได้ผลตอบแทนเท่าไร
- การทำ Yield farming มักจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการ Staking แต่ความเสี่ยง Yield Farming ก็สูงกว่าเช่นกัน
- ในการ Staking คุณต้องฝากเหรียญเพียงหนึ่งชนิดเท่านั้น แต่การทำ Yield farming ต้องฝากเหรียญเป็นคู่เทรด ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องฝากเงินจำนวนเท่ากันสำหรับทั้งสองเหรียญของคู่เทรดนั้น
เราจะมาอธิบายรายละเอียดของการลงทุนทั้งสองรูปแบบนี้อย่างละเอียดมากขึ้น
การทำ Yield farming คืออะไร
DeFi Yield Farming หรือการฟาร์มเหรียญ คือบริการที่ใช้งานได้บน Decentralized Exchange (DEX) คอนเซปหลักคือคุณจะให้ DEX ยืมเหรียญคริปโตของคุณเพื่อให้มีสภาพคล่องแก่ผู้ซื้อและผู้ขายได้อย่างเพียงพอในคู่เทรดเหรียญต่างๆ
- คู่เหรียญ / เหรียญเดียว
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่ากระดานเทรดมีคู่เทรด BNB/PXP
- ในการแลกเปลี่ยนเหรียญ BNB เป็นเหรียญ PXP หรือ PXP เป็น BNB กระดานเทรดจำเป็นต้องมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการแลกเปลี่ยนนี้
นี่คือจุดที่นักฟาร์มเหรียญเข้ามามีบทบาทในการทำ Yield Farming เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากเหรียญของคุณ คุณจะต้องฝากเหรียญ BNB และเหรียญ PXP ในจำนวนที่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น ฝากเหรียญมูลค่า 1,000 ดอลลาร์สำหรับทั้งเหรียญ BNB และเหรียญ PXP ที่มูลค่าเท่ากัน
ตราบใดที่เหรียญ BNB และเหรียญ PXP ของคุณช่วยเรื่องสภาพคล่องของคู่เทรด BNB/PXP บน DEX ที่คุณเลือก คุณจะได้รับเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งของค่าธรรมเนียมการเทรด นี่คือค่าธรรมเนียมที่ผู้ซื้อและผู้ขายจ่ายเพื่อเข้าถึงคู่เทรดนี้บน DEX
การทำ Yield farming จึงเป็นวิธีที่ดีในการสร้างรายได้แบบพาสซีฟให้กับเหรียญคริปโตที่ไม่ได้ใช้งานของคุณ อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องมีสิทธิ์เข้าถึงเหรียญทั้งสองจากคู่เทรดเพื่อมอบสภาพคล่อง
การ Staking คืออะไร
การ Staking เหรียญคริปโตคือการที่คุณให้กระดานซื้อขายยืมเหรียญคริปโตหนึ่งชนิด
โดยข้อแตกต่างหลักระหว่าง Yield farming vs Staking คือการที่ Yield farming ต้องมีเหรียญคริปโตสองสกุลของคู่เทรด ส่วน Staking ใช้เหรียญคริปโตเพียงสกุลเดียว
- การ Staking ในรูปแบบดั้งเดิมนั้นเป็นการล็อคเหรียญของคุณไว้ในบล็อคเชนแบบ Proof-of-Stake (PoS) เช่น Cardano
- กระบวนการนี้ทำให้บล็อกเชนเป็นการกระจายอำนาจ และทำให้ตรวจสอบธุรกรรมได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
- คุณจะได้สร้างรายได้แบบพาสซีฟจากเครือข่ายบล็อคเชนสำหรับการล็อคเหรียญคริปโตของคุณ
ข้อเสียหลักของการ Staking แบบดั้งเดิมผ่านโปรโตคอลบล็อคเชนคือผลตอบแทนมักจะต่ำมาก นอกจากนี้ กระบวนการนี้เหมาะสำหรับเหรียญคริปโตที่อยู่ในบล็อคเชนแบบ PoS เท่านั้น
นี่เป็นเหตุผลที่การใช้ DEX เพื่อทำการ Staking นั้นดีกว่ามาก โดยคุณจะได้ทั้งผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก และยังมีการรองรับเหรียญที่เยอะขึ้นนอกเหนือจากเหรียญในบล็อคเชน PoS
- ในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน คุณต้องตัดสินใจก่อนว่าคุณต้องการ Stake เหรียญไหนดี และนานเท่าใด
- ตัวอย่างเช่น หากคุณ Stake เหรียญ DeFi ใน DeFi Swap DEX คุณจะได้รับผลตอบแทนต่อปีระหว่าง 30% ถึง 75% ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกระยะเวลา 1, 3, 6 หรือ 12 เดือน
ในช่วงเวลาล็อคเหรียญที่คุณเลือก คุณจะไม่สามารถเข้าถึงเหรียญของคุณได้ ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม คุณไม่สามารถตัดระยะเวลาการ Stake เหรียญที่เลือกไว้ได้ หากคุณจะต้องการเข้าถึงเหรียญของคุณทันทีก็ตาม
ในทางกลับกัน คุณจะต้องรอให้ระยะเวลาล็อคเหรียญผ่านไปก่อนที่คุณจะได้รับเหรียญคริปโตของคุณคืน พร้อมกับดอกเบี้ย
กระบวนการนี้ตรงกันข้ามกับการทำ Yield farming ซึ่งโดยทั่วไปจะมีรูปแบบเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นกว่ามาก
ข้อดีหลักของการทำ Yield farming
ต่อไปนี้คือข้อดีของการทำ Yield farming
เงื่อนไขที่ยืดหยุ่น
Yield Farming เมื่อเทียบกับ Staking คำอธิบายก็ทักจะเน้นไปที่เรื่องความยืดหยุ่นแทน เนื่องจากในกรณีส่วนใหญ่ กองรางวัลจาก Yield Farming ไม่ได้กำหนดให้คุณต้องยอมรับระยะเวลาการล็อคขั้นต่ำแต่อย่างใด
ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเพิ่มหรือถอนสภาพคล่องได้ตามต้องการ หากคุณรู้สึกว่าคุณกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่มากเกินไปในกองสภาพคล่องกองใดกองหนึ่ง คุณสามารถถอนเงินได้ทันที
ในทางกลับกัน หากคุณพบว่ากอง Yield farming ที่คุณทำนั้นให้ผลตอบแทนได้ดี คุณก็สามารถฝากเหรียญเพิ่มเข้าไปได้
ผลตอบแทนสูง
คุณมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าการ Staking โดยขึ้นอยู่กับคู่เทรดเหรียญที่คุณเลือก
โดยระดับของผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับสภาพคล่องและความผันผวนของคู่เหรียญต่างๆ
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการจัดหาสภาพคล่องให้กับเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีใหม่ และยังไม่ค่อยเป็นนิยม คุณมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนถึงสามหลัก
หรือแม้แต่คู่เทรดเหรียญที่มีสภาพคล่องสูงก็สามารถให้ผลตอบแทนเป็นตัวเลขสองหลักได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการทำ Yield farming จึงเป็นที่นิยม
ข้อดีของการ Staking
ต่อไปนี้คือข้อดีของการ Staking
ใช้เหรียญเพียงชนิดเดียวเท่านั้น
เมื่อคุณ Stake เหรียญคริปโต คุณจะต้องใช้เหรียญเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณสนใจโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 75% จากการ Stake เหรียญ DeFi Coin คุณก็ต้องใช้เหรียญนี้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น
แต่ถ้าคุณต้องการทำ Yield Farming เพื่อสร้างสภาพคล่องสำหรับคู่เทรดเหรียญ DEFC/BNB คุณจะต้องมีเหรียญทั้งสองชนิดในมูลค่าที่เท่ากัน
ผลตอบแทนที่น่าดึงดูด
แม้ว่าการ Staking อาจจะสร้างผลตอบแทนได้ไม่เท่ากับการทำ Yield Farming แต่จำนวนผลตอบแทนที่ได้รับนั้นก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ในความเป็นจริง นอกเหนือจากการ Stake เหรียญที่เป็นที่นิยมอย่าง Bitcoin และ Ethereum แล้ว การ Stake เหรียญคริปโตอื่นๆ เป็นจำนวนมากก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นตัวเลขสองหลักได้เช่นกัน
ผลตอบแทนที่คงที่
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่คุณอาจต้องการพิจารณาในการเปรียบเทียบระหว่างการทำ Yield farming vs Staking ก็คืออัตราผลตอบแทนคงที่
ซึ่งหมายความว่าคุณจะทราบแน่ชัดว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนเท่าใดเมื่อระยะเวลาการ Stake สิ้นสุดลง
แต่คุณต้องไม่ลืมด้วยว่ามูลค่าในการลงทุนของคุณจะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาของเหรียญที่คุณนำไป Stake ด้วย
สำหรับคนที่กำลังเล็งว่ามีเงิน 100,000 ลงทุนอะไรดี ให้งอกเงยการทำ staking ก็ถือว่าเป็นการได้รับผลตอบแทนที่ดีไม่น้อย
การทำ Yield farming vs Staking: อัตราผลตอบแทน
เมื่อตัดสินใจเลือกการทำ Yield farming หรือ Staking เป็นรูปแบบการลงทุนใน DeFi ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ตัวชี้วัดหลักที่ต้องพิจารณาคืออัตราผลตอบแทนที่คุณมีโอกาสได้รับ เพราะท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์หลักของการให้ยืมเหรียญคริปโตของคุณคือการทำกำไร
โดยสรุปแล้ว ไม่มีกฎตายตัวเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนที่คุณสามารถสร้างได้จากทั้งการทำ Yield farming หรือ Staking เนื่องจากมีตัวแปรมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วย:
ชนิดของเหรียญ
สิ่งแรกและสิ่งที่สำคัญที่สุด ชนิดของเหรียญคริปโตที่คุณต้องการทำ Yield farming หรือ Staking จะมีส่วนสำคัญต่อโอกาสในการได้รับผลตอบแทน ตัวอย่างเช่น หากคุณจะ Stake เหรียญยอดนิยมอย่าง Ethereum คุณควรคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่ไม่สูงมาก
นั่นเป็นเพราะเหรียญ Ethereum เป็นโปรเจ็กต์คริปโตเคอร์เรนซีที่ค่อนข้างมั่นคงและเป็นที่รู้จัก ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจจากตลาดในวงกว้าง ซึ่งการจัดหาสภาพคล่องให้กับคู่เงิน เช่น ETH/USDT ผ่านการทำ Yield Farming ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ไม่สูงมากเช่นกัน
ในอีกด้านหนึ่ง การ Stake เหรียญที่กำลังมาแรงเช่น DeFi Coin จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก รวมถึงการสร้างสภาพคล่องให้กับคู่เทรด เช่น DEFC/BNB ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นด้วย
เงื่อนไขในการล็อคเหรียญ
เมื่อคุณยอมรับเงื่อนไขในการล็อคเหรียญเป็นเวลานานขึ้น คุณก็จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากคุณตัดสินใจที่จะ Stake เหรียญบนเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น ผลตอบแทนก็จะต่ำกว่าการตกลงที่จะล็อคเหรียญไว้เป็นเวลา 12 เดือน
แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไป คุณแทบจะไม่ต้องยอมรับเงื่อนไขในการล็อคเหรียญเลยหากคุณเลือกทำ Yield Farming
ผลตอบแทนคงที่ vs ผันผวน
สิ่งที่ควรทราบอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนจากทั้งการทำ Yield farming vs Staking ก็คือ ปกติแล้ว อัตราผลตอบแทนของการ Staking จะเป็นแบบคงที่ ซึ่งหมายความว่าเมื่อคุณยอมรับข้อตกลงในการ Staking คุณก็จะรู้ว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนเท่าใด
ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนให้มากที่สุด ส่วนการทำ Yield farming นั้น คุณจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่มีความผันผวน ซึ่งไม่สามารถรู้ตัวเลขที่แน่ชัดได้
แพลตฟอร์ม DeFi ที่คุณเลือกอาจระบุผลตอบแทนโดยประมาณแก่คุณ แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดการณ์ที่ดีที่สุดเท่านั้น
ท้ายที่สุด ผลตอบแทนจากการทำ Yield farming จะเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน ขึ้นอยู่กับตัวชี้วัดต่างๆ เช่น ความผันผวน โอกาสในการเก็งกำไร และระดับสภาพคล่อง
การทำ Yield farming vs Staking: ความเสี่ยง
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่คุณต้องพิจารณาในการเปรียบเทียบว่าการ stake กับ farm ต่างกันยังไง คือความเสี่ยง มีความเสี่ยงที่หลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งสองรูปแบบนี้ดังต่อไปนี้
ความเสี่ยงด้านโอกาส
ความเสี่ยงแรกที่ควรพิจารณานั้นเชื่อมโยงกับการ Staking โดยเฉพาะ พูดง่ายๆ ก็คือ หากคุณตัดสินใจที่จะล็อคเหรียญของคุณเป็นระยะเวลาหนึ่งโดยมีเป้าหมายเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น คุณจะไม่สามารถทำอะไรกับเหรียญเหล่านั้นได้จนกว่าระยะเวลาล็อคจะสิ้นสุดลง
ในระหว่างระยะเวลานี้ หมายความว่าคุณอาจพลาดโอกาสการลงทุนอื่นๆ ที่ให้ผลกำไรมากกว่า เมื่อเหรียญของคุณถูกล็อค เหรียญจะถูกยึดไว้โดยสัญญาอัจฉริยะที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าคุณจะต้องการเข้าถึงเหรียญที่คุณ Stake ไว้มากแค่ไหน คุณก็จะต้องรอให้สัญญาอัจฉริยะปล่อยเหรียญออกมาเมื่อสิ้นสุดวันที่กำหนดไว้
โดยทั่วไป คุณจะไม่มีความเสี่ยงนี้เมื่อคุณทำ Yield Farming เนื่องจากในกรณีส่วนใหญ่ คุณจะมีตัวเลือกในการถอนเหรียญของคุณออกจากกองทุนสภาพคล่องได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ
ความเสี่ยงจากการทำกำไรได้ไม่เต็มที่
ความเสี่ยงเฉพาะของการทำ Yield Farming คือการทำกำไรได้ไม่เต็มที่ โดยแนวคิดหลักของความเสี่ยงนี้ก็คือ คุณอาจทำกำไรได้มากขึ้นโดยเพียงแค่เก็บเหรียญของคุณไว้ในกระเป๋าเงินส่วนตัว แทนที่จะฝากเข้าไปในกองทุนสภาพคล่อง
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณจัดหาสภาพคล่องให้กับคู่เหรียญ ADA/USDT
- คุณตัดสินใจที่จะใช้เงินจำนวน 500 ดอลลาร์แลกเป็นเหรียญ ADA และเหรียญ USDT ดังนั้นมูลค่า – การลงทุนทั้งหมดของคุณคือ 1,000 ดอลลาร์
- สมมติว่าในช่วงสามเดือน คุณสร้างผลตอบแทนได้ 40% โดยการทำฟาร์มเหรียญ ADA/USDT
- เท่ากับว่าในระยะเวลาสามเดือน มูลค่าเหรียญของคุณเติบโต 10%
- อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถสร้างกำไร 20% ในช่วงเวลาเดียวกันโดยการเก็บเหรียญ ADA และ USDT ของคุณไว้ในกระเป๋าเงินส่วนตัว แสดงว่าคุณประสบปัญหาขาดทุนจากการทำกำไรได้ไม่เต็มที่
ความเสี่ยงนี้ทำให้คุณได้รับผลตอบแทนไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากคุณสามารถทำกำไรได้มากขึ้นหากไม่นำเหรียญไปทำ Yield Farming
ความเสี่ยงจากความผันผวน
ทั้งการทำ Yield farming vs Staking มีความเสี่ยงจากความผันผวนโดยธรรมชาติ โดยหมายถึงความเสี่ยงที่มูลค่าของเหรียญที่คุณฝากเข้าไปในกองสภาพคล่องหรือกอง Stake ลดลง
ซึ่งหมายความว่าเมื่อคุณถอนเหรียญคริปโตของคุณออกมา มูลค่าการลงทุนของคุณอาจลดลงกว่าตอนที่คุณเริ่ม แม้ว่าคุณจะมีเหรียญมากกว่าก็ตาม
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณฝาก 1 ETH ในข้อตกลงการ Staking เป็นระยะเวลา 12 เดือน โดยได้รับ APY 20%
- ในตอนที่คุณฝาก ETH ราคาอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งเหรียญ
- เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการ Stake 12 เดือน คุณได้ถอน 1 ETH ของคุณออกมา พร้อมดอกเบี้ย 0.20 ETH (20% ของ 1 ETH)
- ซึ่งหมายความว่าตอนนี้คุณมี 1.2 ETH แต่ในขณะนี้ ETH มีราคาอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งเหรียญ – ดังนั้นเหรียญของคุณจึงมีมูลค่า 2,400 ดอลลาร์ตามราคาตลาดปัจจุบัน
- เนื่องจากเดิมคุณลงทุนมูลค่า 4,000 ดอลลาร์ จึงเท่ากับว่าคุณขาดทุน 1,600 ดอลลาร์ ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณมีโทเค็น ETH เพิ่มขึ้น 20%
ความเสี่ยงจากความผันผวนนั้นเกิดขึ้นกับการ Staking ค่อนข้างมาก เพราะในการทำ Yield Farming คุณสามารถถอนเหรียญของคุณได้ตลอดเวลา แต่ในระหว่างการ Staking คุณจะไม่สามารถถอนเหรียญได้จนกว่าระยะการล็อคจะสิ้นสุดลง
ความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม
คุณควรพิจารณาถึงความเสี่ยงของแพลตฟอร์มที่คุณใช้สำหรับการทำ Yield farming vs Staking ด้วย เพราะคุณจะต้องดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม โดยคุณสามารถเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้โดยการ Stake เหรียญของคุณโดยตรงในเครือข่ายบล็อคเชนที่เกี่ยวข้อง
ความเสี่ยงเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มจะขึ้นอยู่กับว่าแพลตฟอร์มที่คุณเลือกเป็นแบบรวมศูนย์หรือไร้ศูนย์กลาง
หากเป็นในอดีต คุณต้องเชื่อมั่นว่าเว็บไซต์ส่วนกลางจะช่วยรักษาเหรียญของคุณให้ปลอดภัยและจ่ายผลตอบแทนตามที่สัญญาไว้ในภายหลัง
เมื่อเทียบกันแล้ว หากคุณทำการ Yield farming หรือ Staking ผ่านแพลตฟอร์มแบบไร้ศูนย์กลาง คุณกำลังฝากเงินเข้าไปในสัญญาอัจฉริยะโดยตรง ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มจะไม่สามารถเข้าถึงเหรียญของคุณได้โดยตรง
ความเสี่ยงจากสัญญาอัจฉริยะ
สัญญาอัจฉริยะบนแพลตฟอร์มแบบไร้ศูนย์กลางนั้นไม่ได้ปราศจากความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง เนื่องจากหากสร้างสัญญาอัจฉริยะมีช่องโหว่ ก็มีความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กเช่นกัน
นี่คือเหตุผลที่คุณยังต้องทำการศึกษาหาข้อมูลในการเลือกแพลตฟอร์ม DeFi ไม่ว่าคุณต้องการจะทำ Yield farming หรือ Staking
การทำ Yield farming เหมาะสำหรับใครที่สุด?
การทำ Yield farming อาจเหมาะที่สุดสำหรับนักลงทุนคริปโตที่มีประสบการณ์ ซึ่งยินดีที่จะรับความเสี่ยงเพิ่มเติมโดยมีเป้าหมายเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างมาก
ตามที่อธิบายก่อนหน้านี้ เมื่อคุณเพิ่มเหรียญลงในกองสภาพคล่อง คุณจะมีโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการ Staking แต่คุณก็มีความเสี่ยงจากการทำกำไรได้ไม่เต็มที่ด้วย
ในทางกลับกัน การทำ Yield farming ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้นในการเข้าถึงเหรียญของคุณ
เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว คุณจะมีตัวเลือกในการถอนเหรียญคริปโตของคุณออกจากกอง Yield farming ได้ตลอดเวลา โดยไม่มีข้อจำกัด
การ Staking เหมาะสำหรับใคร?
การ Staking เหมาะที่สุดสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทราบว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไรเพื่อแลกกับการล็อคเหรียญของคุณ
เนื่องจากในกรณีส่วนใหญ่ ผลตอบแทนจากการ Staking จะเป็นแบบคงที่ ดังนั้น หากคุณ Stake เหรียญ DEFC 10,000 เหรียญในกอง Stake เป็นเวลา 12 เดือน โดยมีอัตราผลตอบแทนที่ 75% คุณจะรู้ได้เลยว่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาล็อคเหรียญ คุณจะได้รับเหรียญกลับไปเป็นจำนวน 17,500 เหรียญ
จากที่กล่าวมา การ Staking อาจไม่เหมาะกับคุณหากมีโอกาสที่คุณจำเป็นต้องเข้าถึงเหรียญของคุณในทันที เนื่องจากเมื่อเหรียญถูกล็อค คุณจะไม่สามารถเข้าถึงเหรียญเหล่านั้นได้จนกว่าเงื่อนไขจะสิ้นสุดลง
หากเป็นกรณีนี้ อาจต้องมองหาเงื่อนไขในการ Stake ที่ยืดหยุ่นขึ้น โดยแลกกับการที่ผลตอบแทนอาจจะลดลง แต่อย่างน้อยที่สุดคุณสามารถถอนเหรียญได้ตลอดเวลา
แพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับการ Staking และการทำ Yield Farming
เมื่อคุณทราบความแตกต่างระหว่างการ Staking และการทำ Yield Farming แล้ว คุณน่าจะตัดสินใจแล้วว่าการลงทุนใน DeFi รูปแบบใดดีที่สุดสำหรับคุณ หากเป็นเช่นนั้น ขั้นตอนต่อไปคือการตัดสินใจเลือกว่าจะลงทุนใน DeFi
เราพบว่าแพลตฟอร์มโดยรวมที่ดีที่สุดสำหรับจุดประสงค์นี้คือ Bitcoin Minetrix ซึ่งเป็นโปรเจกต์ Stake-to-Min แห่งแรกของโลกที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ Stake Token ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้รับผลตอบแทนต่อปีมหาศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโอกาสในการขุด Bitcoin ด้วย
เมื่อคุณทราบถึงข้อแตกต่างระหว่าง Staking และ Yield Farming แล้ว คุณคงตัดสินใจได้แล้วว่าผลิตภัณฑ์ DeFi ใดดีที่สุดสำหรับคุณ หากเป็นเช่นนั้น ขั้นตอนต่อไปคือการหาแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่จะสามารถตอบโจทย์ด้านการลงทุน DeFi ของคุณได้ โดยด้านล่าง เราจะรีวิวสามแพลตฟอร์ม Staking และ Yield Farming มาใหม่ ดังนี้:
PlayDoge – เหรียญมีมที่ Stake ได้และให้ผลตอบแทนสูงในปี 2024
PlayDoge เป็นโครงการคริปโตใหม่ที่เพิ่งเปิดขายพรีเซล และมุ่งหวังที่จะมอบความสนุกสนานให้แก่นักเล่นเกมที่ต้องการลงทุนในตลาดคริปโตไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักของโครงการนี้จะต้องการตอบสนองความต้องการของผู้เล่นแบบ P2E เป็นหลัก แต่อีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยทำให้ PlayDoge เป็นโครงการที่เติบโตได้เป็นอย่างดีในอนาคต ก็คือ ความสามารถในการ stake ที่จะช่วยทำให้ผู้ถือเหรียญ PlayDoge มีโอกาสได้สร้างรายได้เพิ่มเติม และการซื้อพรีเซลและเลือก stake ตั้งแต่แรก ๆ จะยิ่งทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงมากขึ้นกว่าเดิม
นักลงทุนที่ต้องการซื้อโทเค็น $PLAY สามารถที่จะซื้อพรีเซลและ Stake เหรียญได้ทันที ซึ่งรางวัลจากการ Stake จะให้เปอร์เซ็นต์แบบไดนามิก นั่นหมายความว่า มีโอกาสที่จะอัตราผลตอบแทนจะลดลงเมื่อมีคนเข้ามา Stake ในกองทุนที่เพิ่มมากขึ้น
ด้วยการใช้หลักการของเกมทามาก็อตจิที่เคยเป็นเกมยอดนิยมในอดีตมาประยุกต์ใช้กับรูปแบบของเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาในปัจจุบัน ทำให้โครงการ PlayDoge เป็นหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุนคริปโตเคอเรนซี่รุ่นใหม่ ที่ต้องการเหรียญมีที่มีประโยชน์ใช้งานที่มากกว่าการสร้างกระแสโดยทั่ว ๆ ไป
ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะเพลิดเพลินไปกับการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของตัวเอง และพาออกไปเล่นเกม หรือเดินเล่นได้อย่างสมจริงสมจัง ซึ่งก็จะช่วยส่งเสริมให้การถือโทเค็น $PLAY มีมูลค่าสูงขึ้นได้ในอนาคต
เข้าร่วมช่อง PlayDoge Telegram และติดตาม X ได้เลย
เริ่มขายพรีเซล | พฤษภาคม 2024 |
เชน | Binance |
จำกัดการซื้อขั้นต่ำ | ไม่มี |
จำกัดการซื้อขั้นสูง | ไม่มี |
รองรับการชำระ | BNB, ETH, USDT, บัตรเครดิต |
WienerAi – เหรียญ AI ที่ใช้เป็นบอทเทรดคริปโตได้
WienerAI ($WAI) เป็นเหรียญมีมที่ไม่ธรรมดา เพราะมาพร้อมกับแนวคิดในเชิงนวัตกรรม ที่พยายามมอบประโยชน์ใช้งานที่คุ้มค่าให้กับนักลงทุน เพื่อที่จะดึงดูดนักลงทุนที่แสวงหากำไรในยุคปัจจุบัน ด้วยการนำทางเลือกของเทคโนโลยี AI มาใช้ ทำให้ WienerAi กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนอย่างรวดเร็ว
โครงการนี้สามารถที่จะคาดการณ์ราคาคริปโตผ่านบอทเทรด AI ที่เป็นมิตรและใช้งานได้ง่าย ซึ่งเป็นตัวช่วยสร้างกำไรได้ดีในอนาคต และถือเป็นเครื่องมือส่วนเพิ่มที่เหมาะแก่การลงทุนเป็นอย่างยิ่ง
แต่ที่เหนือไปกว่านั้นก็คือ การทำกำไรได้ตั้งแต่เริ่มซื้อเหรียญพรีเซล เพราะคุณสามารถที่จะเลือก stake โทเค็น $WAI เพื่อรับผลตอบแทนได้ในมูลค่ามหาศาล ซึ่งเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่อยากจะได้กำไรในอัตรา APY สูง ๆ
การ stake โทเค็น $WAI ทำได้ง่ายบนเว็บไซต์พรีเซลของ Winner AI ซึ่งทำผ่านสัญญาอัจฉริยะของโครงการและยังมีการเสริมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งส่งเสริมให้โครงการเหรียญมีมใหม่นี้ได้รับการตอบรับจากการขายพรีเซลอย่างรวดเร็ว
กระแสของ WienerAI จึงถือว่ามาแรงแซงหน้าคู่แข่ง ที่สามารถติดตามความสามารถเพิ่มเติมของ WienerAI ได้ที่ Telegram หรืออ่านไวท์เปเปอร์ WienerAI เพื่อทำความรู้จักโครงการเพิ่มเติม
เริ่มขายพรีเซล | เมษายน 2024 |
เชน | Ethereum |
จำกัดการซื้อขั้นต่ำ | ไม่มี |
จำกัดการซื้อขั้นสูง | ไม่มี |
รองรับการชำระ | USDT, ETH, BNB และ MATIC |
99 Bitcoins – เหรียญคริปโตที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ 99Bitcoins จะช่วยให้ได้สร้างรายได้พิเศษด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ ซึ่งทำให้โครงการนี้เป็นที่สนใจของนักลงทุนในปัจจุบันนี้
หากคุณอยากมีทางเลือกในการได้รับกำไรจากการลงทุน การสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่ง 99 Bitcoins เป็นหนึ่งในสถานที่ที่จะให้คุณได้รับความรู้ และยังมีโทเค็น $99BTC เป็นรางวัลสำหรับการเรียนรู้จากกลไก Learn-to-Earn (L2E) อีกด้วย
แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนในตลาดคริปโต ให้มีโอกาสสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เพียงแค่เข้าไปศึกษาหลักสูตรต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม ก็มีโอกาสได้รับรางวัลเป็นโทเค็น $99BTC ตอบแทนแล้ว
นอกจากนี้ การถือโทเค็นดังกล่าวเอาไว้ ก็ยังมีโอกาสที่จะทำให้คุณสามารถ Stake เพื่อรับรางวัลเพิ่มเติมได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่มองหาการสร้างผลกำไรหลากหลายช่องทาง และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากวางแผนการลงทุนในยุคปัจจุบันนี้ เพื่อให้มีผลกำไรอย่างที่ตัวเองคาดหวัง
เพื่อการใช้งานที่ถูกต้องและเพื่อการรับรางวัลอย่างเต็มที่ อย่าลืมติดตาม Telegram และ X เพื่อรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรืออ่านรายละเอียดต่าง ๆ จากไวท์เปเปอร์ของ 99Bitcoins เพื่อรับทราบแนวทางการดำเนินงานได้
เริ่มขายพรีเซล | เมษายน 2024 |
เชน | Ethereum |
จำกัดการซื้อขั้นต่ำ | ไม่มี |
จำกัดการซื้อขั้นสูง | ไม่มี |
รองรับการชำระ | ETH, USDT, BNB, Card |
ไปยัง 99 Bitcoins พรีเซลตอนนี้
บทสรุป
คู่มือนี้ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง Staking และ Yield Farming ซึ่งทั้งคู่ถือเป็น ผลิตภัณฑ์การลงทุน DeFi ที่มาพร้อมกับข้อดีและข้อดเสียของตัวเอง ดังนั้น โปรดพิจารณาถึงเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่รับได้ของคุณเอง
ถ้าคุณพร้อมที่จะเริ่มรับรางวัลจากโทเค็นที่ไม่ได้ใช้งานของคุณตอนนี้ เราพบว่า PlayDoge เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผลตอบแทนต่อปีที่สูง โดยแนะนำให้นักลงทุนเลือกซื้อและ Stake ตั้งแต่ในช่วงแรก เพื่อรับผลตอบแทนต่อปีในอัตราที่พึงพอใจ